องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องสภาพภูมิอากาศของ ยูเอ็น เตือนว่าเวลาที่มนุษย์จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกใกล้จะหมดลงแล้ว หลังพบว่าความเข้มข้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอัตราเฉลี่ยจนทำสถิติใหม่เมื่อปีที่แล้ว
การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกทั้งสามชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งมากกว่าปริมาณที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความหมายเท่ากับว่า ปริมาณของก๊าซเหล่านี้ได้แตะระดับสถิติใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกหลักเพิ่มขึ้น 2.5 ส่วนในล้านส่วน จนมีระดับ 415.7 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยพบมาก่อนตลอดเวลาอย่างน้อย 3 ล้านปีที่ผ่านมาเมื่อโลกยังร้อนกว่านี้มาก นอกจากนี้รายงานยังระบุว่าก๊าซมีเทนซึ่งมีคุณสมบัติกักเก็บความร้อนยังพุ่งสูงที่สุดนับแต่มีการบันทึกสถิติครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดยก๊าซมีเทนเป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดโลกร้อนอันดับที่ 2 รองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซเรือนกระจกเป็นสาเหตุของโลกร้อนและภัยธรรมชาติจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว อาทิเช่น คลื่นความร้อน และฝนตกหนัก ก๊าซคาร์บอนไดส่วนใหญ่ถูกปล่อยและสะสมมาหลายทษวรรษในชั้นบรรยากาศ ก่อให้เกิดกระบวนการต่างๆ อย่างช้าๆ เช่น ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใหม่ที่สามารถลดได้จากการลดการเดินทางและโดยภาคอุตสาหกรรม ดังเช่นในช่วงระหว่างที่มีการระบาดของโรคโควิด-19
Petteri Taalas เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของความเข้มข้นของก๊าซที่มีคุณสมบัติกักเก็บความร้อนเหล่านี้ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซมีเทนเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังไปผิดทาง และเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงาน การทำอุตสาหกรรม และระบบขนส่ง
โดยเขาย้ำเตือนว่า เวลาที่มนุษย์มีใกล้จะหมดลงแล้ว ทั้งยังให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นนั้นสามารถทำได้ทั้งในเชิงงบประมาณและความสามารถทางเทคนิค
เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำการศึกษาถึงสาเหตุที่ทำให้ระดับก๊าซมีเทนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์นี้ โดยเพิ่มขึ้น 18 ส่วนในพันล้านส่วนจนมีระดับ 1,980 ในพันล้านส่วนเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่มีเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2563 โดยพบว่ามีที่มาจากพื้นที่ชุ่มน้ำ หลุมฝังกลบ และนาข้าวเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นเร่งกระบวนการย่อยสลายทางธรรมชาติให้เร็วขึ้น
ด้าน Oksana Tarasova เจ้าหน้าอาวุโสขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ให้ความเห็นว่าการขยายเครือข่ายเพื่อติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความจำเป็น โดยเฉพาะใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะหากมนุษย์ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของกระบวนการดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่สามารถหาทางแก้ไขได้อย่างถูกต้อง และนั่นถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
รายงานประจำปีขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกนี้นับเป็นรายงานหนึ่งจากหลายรายงานที่มีการเปิดเผยก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่เรื่องสภาพภูมิอากาศของยูเอ็นในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ณ ประเทศอียิปต์ และมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้นำทั่วโลกเร่งลงมือแก้ไขให้เป็นรูปธรรม
