เครื่องหมายอัศเจรีย์

บทเรียน ‘สึนามิ’ สู่..การจัดการภัยพิบัติ…ประเทศไทย

สึนามิ อาจเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของคนทั้งโลกที่จดจำ ที่สำคัญ คือ ประเทศไทย 6 จังหวัดอันดามัน ถูกคลื่นถล่มยับไปด้วย และเรียนรู้ไม่มีวันลืม 

พังงาอาจดูเหมือนเป็นจังหวัดเล็ก ๆชายฝั่งอันดามัน  ที่มีผู้ประสบภัยอย่างหนัก ร้ายแรง และมีผู้เสียชีวิตเกือบ 5,000  คน  บทเรียนครานั้น  สึนามิที่เกิด…ไม่เคยมีใครเชื่อ…ไม่เคยมีใครรู้จัก  จึงสร้างความเสียหายขนาดใหญ่กับประเทศไทย  ส่งผลให้สังคมไทยได้ตระหนักและให้การเรียนรู้กับคน ชุมชน ที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  

หลังสึนามิ ชุมชนบ้านน้ำเค็ม  ได้ก่อเกิดขึ้นภายใต้การฟื้นฟูภัยพิบัติ  เกิดองค์กรชุมชนที่มีระบบการจัดการการเงิน  การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย  การฟื้นฟูอาชีพ  การเชื่อมร้อยเครือข่ายผู้ประสบภัย  ‘เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ’  ชุมชนบ้านน้ำเค็มฟื้นชุมชนให้คืนกลับมาเฉกเช่นเดิม  แต่เรายังไม่สามารถอาศัยอยู่ภายในชุมชนที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติได้อย่างสงบสุข  ชุมชนจึงผลักพลังให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติโดยองค์กรชุมชน  โดยการสนับสนุน หนุนเสริมของภาคีพัฒนาที่หลากหลาย  จากชุมชนผู้ประสบภัย กลับกลายเป็นชุมชนป้องกันและพร้อมรับมือภัยพิบัติ

โมเดลบ้านน้ำเค็ม  เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ  เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเครือข่ายผู้ประสบภัยจากทั่วโลก กว่า 70 ประเทศ  และยังขยายไปสู่ประเทศที่เกิดภัยในทั่วโลก พม่า  อินโด อินเดีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่เกิดภัย 

ชุมชนนี้ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฟื้นฟูภัยพิบัติ  จนเกิดเครือข่ายภัยพิบัติขึ้น  เกิดแหล่งเรียนรู้ขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ  เช่นที่เครือข่ายภัยพิบัติ อุบลราชธานี  เครือข่ายรักอ่าวไทยตอนบน  เครือข่ายสิ่งแวดล้อมปทุม  เครือข่ายชุมชนท่าหิน จ.สงขลา และเครือข่ายภัยพิบัติชะอวด-เชียรใหญ่ เป็นต้น 

            วงจรภัยพิบัติของเมืองไทย….สิบปีมานี้ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก  มีแต่เพิ่มความถี่และรุนแรงขึ้น  เริ่มตั้งแต่น้ำท่วมในภาคเหนือ ไล่ลงมาที่ภาคอีสานเหนือ  อีสานใต้  ภาคเหนือตอนล่าง  ภาคกลางตอนบน  ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล  ลงไปที่ภาคใต้ตอนบน  ภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เราอาจเฉลี่ยภาคละ 1 เดือน รวมแล้วกว่า 9 เดือน นี่เฉพาะภัยน้ำท่วมเท่านั้น  หากรวมภัยแล้ง ภัยหนาว ประเทศไทยควรมีจำนวนเดือนให้มากกว่าประเทศอื่น ๆ เพื่อจะได้จัดแบ่งช่วงปฏิทินภัยให้พอดีกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น 

นี่ไม่รวมแผ่นดินไหว สึนามิ   แต่ในหลายชุมชนเขามีปฏิทินภัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดวิถีชีวิตชุมชนของเขาเองและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติแล้ว  โดยกระจายอยู่ทั่วประเทศ  เป็นพื้นที่รูปธรรม ให้ชุมชนอื่น ๆได้เรียนรู้ดูงาน  ยังคงเหลือแต่รัฐไทยที่ยังไม่ได้เตรียมการรับมือ เพียงเตรียมการเยียวยาและถุงยังชีพ

วัฏจักรความจน  ชาวอุบลราชธานี เคยกล่าวไว้ ว่า “คนอุบล น้ำท่วม 3 เดือน  กู้เงินเพื่อฟื้นฟูบ้าน  ฟื้นฟูอาชีพ 4 เดือน  และหาเงินใช้หนี้อีก 5 เดือน  แล้วเราจะหนีความจนได้อย่างไร”  

ผู้ประสบภัยจะหวนคืนวิถีชีวิตได้ดั่งเดิม เวลาอาจผ่านไป 3 หรือ 4 เดือน กว่ารายได้จะหวนคืนสู่ครอบครัวที่เคยประสบภัยน้ำท่วมอีกครั้งหนึ่ง  เขาและเธอเหล่านั้นต้องจัดสรรปันส่วนรายได้อย่างระมัดระวัง  เพราะไหนจะดอกเบี้ยเงินกู้  ไหนจะค่าใช้จ่ายในครอบครัว ไหนจะเป็นต้นทุนทางการผลิต  ใกล้ถึงเวลาฟ้าหลังฝนสดใสอีกครา  และแล้วจะไม่ทันตั้งตัว หลายพื้นที่ภัยหนาวเข้ามาเยือนอีกครั้ง  บางพื้นที่เกิดภัยแล้งต่อ  บางพื้นที่ก็พอจะเริ่มต้นตั้งหลักได้  วิถีชีวิตชุมชน  ครอบครัวเข้าที่เข้าทาง  ครบรอบ 1 ปี พอดี   ภัยพิบัติหวนกลับคืนมาอีกครา  น้ำท่วมอีกครั้ง  หนี้เก่ายังใช้ไม่หมด น้ำท่วมซ้ำอีก  ครบรอบวงจรอีกครั้ง  เหตุการณ์เหล่านี้สะสม  รุนแรงและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

นี่คือวัฏจักรความจน..ของคนไทย จึงจะอยู่คู่กันตลอดไปและหนักหนาสาหัสขึ้น ทวีความรุนแรงขึ้น  หากรัฐบาลไม่มีระบบการจัดการน้ำทั้งระบบ  รัฐไม่มีแผนรับมือ ป้องกันภัยพิบัติแบบกระจายลงสู่ชุมชน  รัฐบาลไม่ส่งเสริมสนับสนุนชุมชนให้มีแผนรับมือภัยพิบัติ อบรม พัฒนา หรืออื่น ๆ

ชุมชนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ   เพื่อลดวัฎจักรความจน  หลายพื้นที่ชุมชนได้มีความพยายามที่จะจัดการตนเอง  การเตรียมตนเอง การเตรียมชุมชน การเริ่มต้นที่อาจต่างกัน  แต่ในพื้นที่เหล่านั้นมีศักยภาพพอที่จะรับมือภัยพิบัติ  โดยเป้าหมายสำคัญ คือ ลดความสูญเสียชีวิตให้ได้  ลดความเสียหายต่อทรัพย์สิน  วิเคราะห์สาเหตุของการเกิดภัยพิบัติ  หากสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐได้ก็จะป้องกันความเสียหายได้ทั้งระบบ ทั้งชุมชน ทั้งเมือง  และยังบริหารความเสียหาย ลดความเสียหาย บริหารการจัดการอาชีพของคนในชุมชน ตำบล เมือง ได้

            ช่วง 7 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา น้ำกำลังท่วม ไล่ลงมาอีกแล้วทั้งที่ดูเหมือนรัฐบาลจะเตรียมพร้อมรับมือ น้ำท่วมปีนี้อาจเป็นบทพิสูจน์เช่นเดียวกันว่า  ตกลงรัฐบาลป้องกันน้ำท่วมได้หรือไม่  รัฐบาลบริหารจัดการน้ำได้หรือไม่ รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันท่วงทีหรือไม่ รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทั่วถึงหรือไม่

            เมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ตามมาคือผู้ประสบภัยได้รับความเดือนร้อน เพราะรอความช่วยเหลือ  หรือผู้ประสบภัยลุกขึ้นช่วยเหลือกันเองได้  หรือรอให้รัฐแจกข้าวกล่อง หรือผู้ประสบภัยจัดตั้งศูนย์ดูแลช่วยเหลือกันเอง ทำอาหารกินกันเอง รัฐส่งวัตถุดิบ  หรือรอถุงยังชีพ หรือว่าเราเตรียมรับมือภัยพิบัติอยู่ก่อน  อาจดูเหมือนเป็นข้อถกเถียงที่ไม่มีคำตอบตายตัว  ว่าอย่างไหน แบบไหน ที่เหมาะกว่ากัน 

            เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนเป็นฐานจากทั่วประเทศ ได้มีการสรุปบทเรียนกันปีแล้วปีเล่า  โดยมีข้อเสนอ เร็ว ๆ ว่าการจัดการภัยพิบัติโดยสนับสนุนให้ชุมชนเตรียมพร้อมรับมือ และรับสนับสนุนกระบวนการ งบประมาณ และหนุนเสริมเมื่อเกิดภัยตามแผนรับมือ  เช่น

1.)รัฐยกเลิกการแจกข้าวกล่องและสนับสนุนงบประมาณให้ชุมชนจัดตั้งครัวกลางดูแลกันเองในระดับชุมชน

2.) รัฐยกเลิกการแจกถุงยังชีพ แต่สนับสนุนงบประมาณตรงให้ชุมชนบริหารจัดการตามกรอบงบประมาณ 

3.) รัฐสนับสนุนให้ชุมชนจัดหาเครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติ เช่น ศูนย์พัก เรือ ส้วม เครื่องครัว เพราะจะสร้างความยั่งยืนและช่วยเหลือกันเอง

4.) รัฐควรกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นได้เตรียมการป้องกันภัยพิบัติโดยท้องถิ่น การช่วยเหลือเยียวยา ให้ท้องถิ่นเป็นหลัก โดยเข้าถึงงบทดลองราชการในการจัดการภัยพิบัติด้วย 

5.) ต้องปรับปรุงกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้สอดคล้องกับ ภัยพิบัติในปัจจุบัน ด้วย

            ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อเสนอที่ผ่านกระบวนการถอดบทเรียนร่วมกันของเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ และเครือข่ายภัยพิบัติชุมชนจากทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี  และอาจมีข้อเสนออื่น ๆ ที่จะพัฒนาร่วมกันไป แต่ภัยพิบัติจะยังคงมาเยือนพวกเรา ถี่ขึ้น หนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือเราจะเอาชีวิต ครอบครัวฝากความหวังไว้กับหน่วยงานองค์กร หรือคนอื่นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยอะไรเราได้ทันท่วงที วัฎจักรความจน…จางหายไปเมื่อรัฐไทยหวนกลับมาทำหน้าที่หนุนเสริมให้ชุมชนบริหารจัดการภัยพิบัติด้วยตัวเอง  รัฐมีหน้าที่สนับสนุน  หนุนเสริมทรัพยากร  องค์ความรู้  ในการจัดการที่หลากหลายภายใต้บริบทของชุมชน  คือ คำตอบ

ความเชื่อเรื่องการจัดการภัยพิบัติชุมชน “ช่วยเหลือเขาให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้อย่างยั่งยืน  ช่วยเหลือเขาให้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างปลอดภัย  และช่วยเหลือเขาให้ช่วยผู้อื่นได้ในอนาคต”

แชร์