ประเชิญ คนเทศ
ที่ปรึกษาด้านเครือข่ายและภูมิปัญญาภาคประชาชน
ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ
ปรากฏการณ์น้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ถือว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยในรอบ 100 ปี ธนาคารโลกได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมูลค่าถึง 1.44 ล้านล้านบาท
น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ เป็นคำถามใหญ่
ในส่วนของรัฐบาลก็พยายามบอกว่า เป็นเหตุสุดวิสัยอันเนื่องมาจากพายุโซนร้อนพัดเข้ามายังประเทศไทยติดต่อกันถึง 5 ลูก ทำให้เกิดฝนตกหนัก จนเขื่อนไม่สามารถรับน้ำได้อีก จำเป็นต้องปล่อยน้ำมาตอนล่าง ทำให้น้ำท่วมอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของนักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 มาจากการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีความผิดพลาด เก็บกักน้ำไว้มากเกินไป เมื่อปริมาณน้ำจากฝนตกหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินปริมาณเก็บกัก จำเป็นต้องปล่อยน้ำออก เพื่อป้องกันเขื่อนพัง
ที่สุดก็มีข้อสรุปรวมกันว่า ทั้งสองสาเหตุเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่
จังหวัดนครปฐม เป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย โดยในครั้งนั้น ภาคประชาสังคมได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม จัดตั้งศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยน้ำท่วมและเปิดศูนย์ข่าวสารน้ำท่วมจังหวัดนครปฐม ทำหน้าที่ประสานความช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัย ณ ศูนย์พักพิงแห่งนี้ และประชาชนในเขต 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน อำเภอนครชัยศรีและอำเภอสามพรานบางส่วน ทั้งยังให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมในจังหวัดนครปฐมแก่สื่อมวลชนทุกแขนง
ภาคประชาสังคม ได้แก่ ชมรมเรารักแม่น้ำท่าจีนนครปฐม สภาลุ่มแม่น้ำท่าจีนนครปฐม และมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีนนครปฐม กับเครือข่ายต่างๆ ได้ช่วยกันกู้พื้นที่สำคัญของนครปฐม ได้แก่ ปฏิบัติการ “กู้สวนส้มโอ เกาะทรงคะนอง สามพราน” และปฏิบัติการ “คืนพื้นที่เกษตรกรรมให้ชาวทุ่งพระพิมลราชา” ด้วยปฏิบัติการกู้น้ำค้างทุ่ง 600 ล้านลูกบาศก์เมตร ในพื้นที่ 250,000 ไร่ ในทุ่งพระพิมลราชา เพื่อให้ชาวนาลงมือปลูกข้าวให้ทันโครงการรับจำนำข้าว นโยบายประชานิยมของรัฐบาลขณะนั้น ทั้งสองประเด็นหลักทำให้สาธารณะทั่วไปยอมการทำงานของภาคประชาสังคมจังหวัดนครปฐมมากยิ่งขึ้นที่สามารถจัดการตนเองได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ
อย่างไรก็ตาม การเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นมีส่วนทำให้สังคมไทยหันมาสนใจการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐมากขึ้น รัฐบาลก็พยายามเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนและนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศกลับคืนมาให้ได้โดยเร็ว จึงได้ตั้งองค์กรเพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขึ้นมา โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำโดยตรง และรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน
ทั้งนี้ งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ในส่วนของแผนงาน A5 การจัดทำทางผันน้ำ (Flood Diverson Channel) รวมมูลค่า 1.53 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 45 ของมูลค่าโครงการรวมทั้งหมด โดยโครงการรวมทั้งหมด โครงการหลักในกลุ่มโครงการนี้ คือ การก่อสร้างคลองผันน้ำฝั่งตะวันตกจากขาณุวรลักษณ์บุรี จังหวัดกำแพงเพชร อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หรือที่ภาคประชาชนเรียกว่า แม่น้ำสายใหม่ กว้างประมาณ 225 เมตร ระยะทาง 283 กม. ผ่านกำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี โดยน้ำทั้งหมดลงสู่แม่น้ำแม่กลองที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และออกสู่ทะเลที่ปากแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ในส่วนแม่น้ำท่าจีนปรับปรุงแม่น้ำท่าจีนและพัฒนาคลองหลักเดิม เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำให้ดีขึ้น พร้อมปรับปรุงคอลงส่งน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำท่าจีนให้มีประสิทธิภาพระบายน้ำลงแม่น้ำท่าจีนได้เร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จัดทำ TOR จัดประกวดราคา จนกระทั่งประกาศบริษัทที่จะมารับงานในทุกกลุ่มโครงการ ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ให้นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรค 2 และมาตร 67 วรรค 2 โดนนำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไปดำเนินการให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง รัฐบาลโดย กบอ. จึงวางแผนจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่รัฐบาลได้ให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพียงการจัดการนิทรรศการ “น้ำ คือ ชีวิต” ที่ห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556 และให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วการให้ข้อมูลโดยวิธีการดังกล่าวไม่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่าง “ทั่วถึง” ตามคำพิพากษาของศาลปกครองได้
พลวัตของการขับเคลื่อนด้วยกระบวนการสมัชชาสุขภาพเสริมหนุนทุกภาคส่วนขับเคลื่อนด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมและพลังของความรู้จนเกิดข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำไปใช้ในเวทีรับฟังความคิดเห็นของรัฐ เริ่มต้นจากโครงการ “คนนครปฐมไม่ไว้ใจฟลัดเวย์” เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านพบว่า จังหวัดนครปฐมจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นพื้นที่รับน้ำเกินศักยภาพที่พื้นที่จะรับได้ ผลการขับเคลื่อนครั้งนี้เกิดปฏิณญาสามพราน และเกิดกลไก “ศูนย์พระสานงานเครือข่ายความร่วมมือฝ่าภัยพิบัติคนนครปฐม” สำนักงานสุขภาพแห่งชาติได้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม ขอความอนุเคราะห์ตั้งสำนักงานนี้ในมหาวิทยาลัย เมื่อโครงการการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ชัดเจนขึ้น ภาคประชาสังคมนครปฐมจึงพร้อมรับมือด้วยข้อมูลความรู้ทางวิชาการ โดยประสานความร่วมมือเรียนรู้กับทีมวิศวกรจาก คณะอนุกรรมการวิศวกรรมแหล่งน้ำ วสท. วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และการทำงานร่วมกับสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่เกาะติดติดอย่างใกล้ชิด โดยใช้รายการสถานีประชาชน รายการเวทีสาธารณะและรู้สู้ภัยพิบัติ ลงไปสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน โดยเลือกโครงการโมดูลเอ 5 การจัดทำทางผันน้ำ (Flood Divertion Chanel) รวมมูลค่า 1.53 แสนล้านบาท ภายใต้เวลาที่จำกัด ทรัพยากรที่จำกัด จึงตัดสินใจเลือกโครงการที่จะส่งผลกระทบต่อจังหวัดนครปฐมมากที่สุด การลงไปทำงานร่วมกับองค์กรดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสงคราม สร้างความรู้ความเข้าใจ พัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเตรียมพร้อมรับมือการนำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ซึ่งสรุปคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้าน ได้ดังนี้
“…จึงพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 57 วรรคสอง และมาตร 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้ต้องปฏิบัติด้วยการนำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไปดำเนินการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง ตามเจตนารมณ์ของส่วนที่ 10 สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน และดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้มีการศึกษาและจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามเจตนารมณ์ของส่วนที่ 12 สิทธิชุมชน ซึ่งอยู่ในหมวด 3 สิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ก่อนที่จะดำเนินการจ้างออกแบบและก่อสร้างในแต่ละแผนงาน (Module) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก…” 27 มิถุนายน 2556
ในที่สุดศาลปกครองกลางได้พิพากษาและตัดสินให้มีการจัดประชาพิจารณ์อย่างทั่วถึงก่อนที่จะจ้าง ออกแบบและก่อสร้าง รัฐบาลจึงได้ทุ่มงบประมาณกว่า 184 ล้านบาท จึงประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ 36 จังหวัด ซึ่งประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่มีการจัดเวทีไม่ได้รับทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเพิ่มขึ้น แต่ละเวทีมีการกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เวทีเป็นเพียง “พิธีกรรม” หรือการโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าที่จะมุ่งรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
สมัชชาสุขภาพจังหวัดนครปฐม โดยแกนนำเครือข่ายภัยพิบัติ ได้ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด พร้อมกับสร้างความรู้ความเข้าในให้กับพี่น้องในพื้นที่อย่างแข็งขันผ่านสื่อมวลชนระดับชาติ สื่อท้องถิ่น และการจัดเวทีย่อยต่าง ๆ จนในที่สุดโครงการนี้ต้องถูกระงับไป
หลังจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย เมื่อปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลโดยคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้เสนอ “แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” หรือที่รับรู้กันในชื่อ “โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท”
โครงการนี้ได้ถูกคัดค้านจากนักวิชาการ เครือข่ายภาคประชาสังคมนครปฐมและประชาชนส่วนใหญ่อย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม และความไม่ชอบด้วยประการทั้งปวง
การขับเคลื่อนดังกล่าวมีผลให้ประชาชนในพื้นที่โครงการโมดูล A5 มีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ ทั้งยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายและทางเลือกทางออกที่จะใช้นำเสนอในเวทีรับฟัง ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท กำแพงเพชร สุพรรณบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม กาญจนบุรี จึงเกิดปรากฏการณ์ประชาชนตื่นตัวออกมาร่วมเวทีมากมาย สะท้อนความคิดเห็นให้กับภาครัฐบาล อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วผลจากการขับเคลื่อน ได้เกิด “เครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านของรัฐ” ประสานงานและทำงานกันต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน.


เชื่อมเครือข่ายห้วยตั้ง ลำพูน


ร่วมรับฟังการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดคดีน้ำ 3.5 แสนล้าน






ประชุมเครือข่ายภาคปชช. ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ณ จ.อุทัยธานี
