Thailand Web Stat Truehits.net
เครื่องหมายอัศเจรีย์

นโยบายโลกร้อน ‘โจ ไบเดน’ กับการพาสหรัฐฯ กลับ ‘ความตกลงปารีส’

จับตานโยบายโลกร้อน ‘โจ ไบเดน’ หลังสาบานตน รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 พาประเทศกลับสู่ ‘ความตกลงปารีส’ ลดก๊าซเรือนกระจก

เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์โลก เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จะมีพิธีสาบานตนของ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 20 ม.ค. 2564 ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ภายใต้แนวคิด “American United” ความเป็นหนึ่งเดียวของชาวอเมริกัน

พิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ต้องลดขนาดการจัดงานลง และใช้วิธีการถ่ายทอดสด พร้อมทั้งให้ผู้ร่วมงานสวมหน้ากากอนามัย ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ในช่วง พ.ย. 2563 กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 150 ปี ที่ประธานาธิบดีที่พ้นจากตำแหน่งจะไม่เข้าร่วมพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่ ตามที่ทรัมป์ ระบุผ่านทวิตเตอร์เมื่อต้น ม.ค. 2564

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ระบุตอนหนึ่งในการกล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐเดลาแวร์ ก่อนเดินทางมาในพิธีสาบานตนว่า “ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะเห็นทรัมป์ปฏิเสธแก้ปัญหาการชุมนุมประท้วงจนมีผู้เสียชีวิต”

เป็นเหตุผลหลักและดูเหมือนว่า นโยบายต่าง ๆ ของโจ ไบเดน จะเข้ามาแก้ปัญหานโยบายที่ผิดพลาดในอดีต ของทรัมป์ หนึ่งในนั้น คือ “การถอนตัวจากความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือความตกลงปารีส ที่ประเทศทั่วโลกตั้งเป้าหมายร่วมกันในการลดก๊าซเรือนกระจก

‘โจ ไบเดน’ ประกาศนโยบายว่า ทันทีที่เริ่มงานในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ จะนำสหรัฐฯ เข้าสู่ความตกลงปารีสทันที

ธารา บัวคำศรี ผอ.กรีนพีซ ประเทศไทย วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้กับ DXC Online ว่า โจ ไบเดน สามารถนำพาสหรัฐฯ เข้าร่วมในความตกลงปารีสได้เลย โดยไม่ต้องรอมติของวุฒิสภา เพราะความตกลงนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย เป็นเพียงการแจ้งความจำนงหรือกระบวนการเข้าร่วมเท่านั้น

ทั้งนี้ นโยบายลดสภาวะโลกร้อนฝังอยู่ในนโยบายการต่างประเทศอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยน่ากังวลในแง่การดำเนินงาน เพราะสหรัฐฯ มีรูปแบบการปกครองแบบมลรัฐ และในเวลานี้หลายรัฐมีความก้าวหน้าไปมากกว่านโยบายภาพรวมของประเทศ

นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า หาก โจ ไบเดน เอาด้วยกับนโยบายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2050 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า จะถือเป็นความหวัง โดยความหมายในที่นี้ คือ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับมีเท่ากัน จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เหมือนดังที่สหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ทำได้ ซึ่งจะช่วยลดการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกได้ 2.3-2.7 องศาเซลเซียส

เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ผอ.กรีนพีซฯ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่มีการพูดถึงนโยบายลดก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ภายในปี ค.ศ.2050 แต่ที่กำลังทำในขณะนี้ คือ มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับชาติ (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMA) โดยปี พ.ศ. 2563 กำหนดต้องลดให้ได้ร้อยละ 7-20 จาก 320 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ และหากได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ อาจลดได้ร้อยละ 25 จาก 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

“ประเทศไทยต้องขยับตนเอง ในด้านหนึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับประเทศลงได้ แต่อีกด้านจะพบว่าการลดของประเทศไทยนั้น ไม่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ หรือทำให้ชุมชนลุกขึ้นมามีศักยภาพรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ ฉะนั้นกลไกของรัฐต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีแผนรับมือระดับพื้นที่ เช่น ภัยพิบัติ พลังงานหมุนเวียน แทนที่การกำหนดนโยบายจากข้างบนมาข้างล่างอย่างเดียว”

ธารา ยังคาดการณ์ว่า ถึงตอนนั้นประเทศไทยจะเป็นอย่างไร หากไม่แก้ไข ก็อาจเข้าใกล้สถานการณ์ภัยพิบัติได้ง่ายขึ้น แต่หากลงมือทำอาจจะสามารถป้องกันได้

ทั้งนี้ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบอุทกภัย 67 ครั้ง และเฉลี่ยสร้างความเสียหายปีละ 2 ครั้ง ดังนั้น หากไม่ทำอะไรเลย เชื่อว่าจะส่งผลกระทบมากขึ้น ความตกลงปารีสจึงมีมติเห็นชอบให้แต่ละประเทศแสดงเจตจำนงในการลดก๊าซเรือนกระจก ปรากฎว่า เมื่อรวมแล้วอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้ว่า ไม่ควรเกิน 1.5 องศาเซลเซียส

****************

หลังจากวันนี้นโยบายลดสภาวะโลกร้อนในเวทีโลกจะได้รับความสนใจขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ ‘โจ ไบเดน’ นำพาสหรัฐฯ เข้าร่วมความตกลงปารีส ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมมีผลต่อประเทศไทย

แชร์