เครื่องหมายอัศเจรีย์

ชาวบ้านเดินหน้าสู้ โรงงานลอบกำจัดขยะ สารพิษ

“เราก็ชาวบ้านธรรมดา จะเอากำลังที่ไหนไปสู้ เห็นหน่วยงานลงมาดูแล้วบอกให้โรงงานไปปรับปรุง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนมีมูลนิธิฯ และ สื่อ เข้ามาช่วย ลึก ๆ ก็หวังว่ากระบวนการศาลจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรม” – เทียบ สมานมิตร เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต้นยางพาราตายจากน้ำปนเปื้อน สารพิษ

กว่า 10 ปีแล้ว ที่ชาวบ้าน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำปนเปื้อนสารเคมีรั่วไหลมาจากโรงงานลักลอบกำจัดขยะสารเคมีไม่ได้มาตรฐาน ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย แหล่งน้ำสาธารณะประโยชน์ไม่สามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ รวมบริเวณได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 800 ไร่ และแม้ว่าจะพบหลักฐานชัดเจน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบ

ปัญหาดังกล่าวไม่เพียงแต่จะกระทบคนในพื้นที่เท่านั้น แต่ระบบที่อ่อนแอและผู้ประกอบการที่เห็นแก่ตัวเพียงไม่กี่ราย ยังนำมาซึ่งความสูญเสียมูลค่ามหาศาลที่กระทบกับประชาชนทั้งประเทศด้วย เพราะหลังเกิดเหตุ เจ้าของโรงงานได้แจ้งยุติประกอบกิจการ และนำเงินมาวางต่อศาล 9 ล้านบาท แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นรวมถึงการฟื้นฟู มีมูลค่ามากถึง 1,300 ล้านบาท ทำให้รัฐฯอาจจะต้องนำเงินจากกองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมมาใช้ และเงินจำนวนดังกล่าว ก็เป็นเงินที่มาจากภาษีประชาชน นักวิชาการจึงมองว่า การที่หน่วยงานที่ รับผิดชอบกำกับดูแลโรงงานเหล่านี้ ปล่อยปละละเลยให้มีผู้ประกอบการสามารถลอบกระทำความผิด เพื่อนำเงินกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง แลกกับการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นทรัพยากรของประเทศชาติเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจับตามองและหาแนวทางแก้ไขปัญหา สารพิษ

สภาพน้ำปนเปื้อนสารพิษ ภายในบ่อของโรงงานวินโพรเสส มีสีน้ำตาลเข้ม ก่อนหน้านี้กรมควบคุมมลพิษ ได้ลงพื้นที่สำรวจนำน้ำดังกล่าวไปตรวจ พบสารเคมีอันตราย ประกอบด้วย สารหนู ตะกั่ว แคดเมียม สังกะสี นิกเกิล และ แมงกานีส รวมถึงสาร VOCs หรือสารอินทรีย์ระเหยง่าย ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ปนเปื้อนอยู่ในระดับที่ส่งผลกับสุขภาพ
ร่องสวนมันสำปะหลังของเกษตรกร ม.4 ต. บางบุตร อ. บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานลักลอบกำจัดขยะปนเปื้อนสารเคมีไม่ได้มาตรฐาน พบน้ำปนเปื้อนสารเคมีกระจายอยู่เต็มเกือบทุกร่องสวน
ป้ายห้ามนำน้ำไปอุปโภค-บริโภค ถูกนำมาติดไว้ที่หน้าสระน้ำหนองพะวา แหล่งน้ำสาธารณะ ที่ในอดีตชาวบ้าน ต.บางบุตร ใช้รดน้ำพืชผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงลงจับสัตว์น้ำเพื่อนำไปประกอบอาหารรับประทานในครอบครัว แต่ปัจจุบัน ไม่สามารถลงจับสัตว์น้ำได้เช่นเคย อีกทั้งยังไม่สามารถสูบน้ำจากบ่อไปรดผักผลไม้ที่ปลูกไว้ได้อีกด้วย เนื่องจากน้ำปนเปื้อนสารเคมีอันตราย ประกอบกับความเป็นกรดของน้ำยังทำให้เกิดอาการระคายเคืองบนร่างกาย
“ในช่วงฤดูแล้ง น้ำจะมีกลิ่นเหม็นและสีเหลืองอ๋อย ผู้ปกครองไม่สามารถนำน้ำไปซักเสื้อนักเรียนหรือเสื้อสีขาวได้” คือคำบอกเล่าที่เด็ก ๆ ของโรงเรียนใน ต.บางบุตร ซึ่งต้องใช้น้ำบาดาลซึ่งสูบจากใต้ดิน ที่อาจจะปนเปื้อนสารเคมีอันตราย มาอุปโภคในครัวเรือน บอกเล่าให้ทีมข่าวฟัง ทำให้เกิดความกังวลเรื่องผลกระทบทางสุขภาพกับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ต้องใช้น้ำ
สวนกล้วยที่ปลูกไว้ริมสระน้ำซึ่งชาวบ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยองขุดไว้ในที่ดินของตนเองเพื่อใช้ประโยชน์รดน้ำผักผลไม้ ทยอยยืนต้นตายจำนวนมากหลังพบน้ำปนเปื้อนสารเคมีจากโรงงานซึมผ่านชั้นดินเข้ามายังบ่อน้ำต่าง ๆ ในหมู่บ้าน รวมรัศมีกว่า 2 กม. รอบโรงงาน
บ่อน้ำของชาวบ้านที่น้ำภายในบ่อ มีสีเหลืองเหมือนน้ำภายในโรงงานกำจัดขยะปนเปื้อนสารเคมี
เส้นทางการไหลของน้ำปนเปื้อนสารเคมี ที่ไหลออกจากโรงงานผ่านร่องน้ำ ชั้นหินชั้นดิน และชั้นทราย กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
“ต้นยางพาราในสวนทยอยยืนต้นตาย จากเดิมเคยปลูกไว้ในพื้นที่กว่า 30 ไร่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 10 ไร่ และยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือ ”เทียบ สมานมิตร เจ้าของสวนยางพารา ซึ่งอยู่ติดกับโรงงาน อธิบายความรู้สึกที่ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมนานกว่า 10 ปี แต่จนถึงขณะนี้ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้รู้สึกท้อแท้และหมดหวัง 

เบื้องต้น เชาหวังว่าคำพิพากษาของศาลจังหวัดระยอง ที่เขากับพวกรวม 15 คน ยื่นฟ้องโรงงานคดีแพ่ง ความผิดฐานละเมิดกฎหมายตาม พ.ร.บส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม จนนำไปสู่การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปได้

แชร์