ถ้าเรานึกภาพสวนแบบอังกฤษขนานแท้ ก็ต้องมีภาพของ กุหลาบ ผุดขึ้นมาในหัวแน่นอน กลิ่นหอมหวานและกลีบนุ่มราวกำมะหยี่เป็นที่ชื่นชมของคนชอบทำสวนหย่อมมาช้านาน แต่ปัจจุบันนักปลูกกลับต้องเลิกปลูกกุหลาบยอดนิยมหลายสายพันธุ์เพราะปัญหาภูมิอากาศผิดปกติและศัตรูพืช
แม้จะมีความเชื่อว่าการปลูกกุหลาบในสวนหย่อมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากจีนและอิรัก แต่กุหลาบกลับกลายมาเป็นดาวเด่นทั่วอังกฤษหลายร้อยปีแล้ว และราชานักปลูกกุหลาบที่ทุกคนยอมรับอย่างไรข้อกังขาในช่วงหกทศวรรษที่ผ่านมาคือ David Austin ผู้ล่วงลับไปเมื่อปี 2018 แต่ดอกกุหลาบของเขายังสะพรั่งในสวนทั่วอังกฤษด้วยสีสันและกลิ่นชวนหลงใหล ทว่าบริษัทของเขาซึ่งยังดำเนินกิจการอยู่กล่าวว่าจะเลิกปลูกกุหลาบบางสายพันธุ์ที่คนชอบกันมากที่สุด เนื่องจากไม่สามารถปลูกให้งามได้อีกต่อไป
A Shropshire Lad ซึ่งเป็น กุหลาบ เลื้อยแสนสวยที่มีกลีบสีชมพูรองเท้าบัลเล่ต์และกลิ่นเหมือนชาผลไม้ได้รับรางวัลมากมายจากราชสมาคมพืชสวนแห่งอังกฤษ (Royal Horticultural Society (RHS)) นับตั้งแต่ออกจำหน่ายในปี 1996 ด้วยก้านที่เกือบจะไร้หนามและกลีบที่สมมาตรอย่างสมบูรณ์แบบ ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นกุหลาบเลื้อยที่คนเลือกเป็นอันดับแรกในคอลเลกชั่นกุหลาบของ David Austin สำหรับผู้ที่ต้องการดอกไม้สีชมพูมุก แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากลับถูกยกเลิกการขายไปเรียบร้อยแล้ว
Tim Smith ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ David Austin Roses กล่าวว่า “เราเฝ้าดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วเพราะเราเห็นโรคและแมลงศัตรูพืชมีวิวัฒนาการไปตามสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งคุกคามต่อทั้งสุขภาพและความสำเร็จของกุหลายสายพันธุ์ยอดนิยมของเรา

“เรื่องนี้แปลว่าเราต้องทดสอบต้นไม้ที่เราจำหน่ายทั้งหมดอีกครั้ง และในบางกรณีอาจต้องเลิกปลูกสายพันธุ์ยอดนิยมอย่าง A Shropshire Lad แม้ว่าพืชเหล่านี้อาจจะยังอยู่รอดในบางสภาวะ แต่ในระยะยาวเราก็ต้องแนะนำสายพันธุ์อื่นที่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีกว่ามาเป็นตัวเลือกแทน
“แม้ว่าการตัดสินใจแบบนี้จะไม่ง่าย และทำให้รายได้ลดลงในระยะสั้น แต่เราต้องกล้าตัดบางสายพันธุ์ออก”
กุหลาบที่คนชื่นชอบและสวยเด่นอีกชนิดหนึ่งที่ถูกเลิกปลูกในปีนี้คือ Munstead Wood ซึ่งมีกลีบกำมะหยี่สีแดงเข้มและกลิ่นหอมคลาสสิกคล้ายแบล็กเบอร์รี่และแดมสัน สายพันธุ์นี้เพิ่งเริ่มมีการเพาะขายเมื่อปี 2007 จึงถือว่าเป็นสายพันธุ์ค่อนข้างใหม่ แต่เมื่อถูกศัตรูพืชก่อความเสียหายอย่างหนักจึงถูกยกเลิกการขายไป
เดิมทีเกณฑ์สำคัญที่ใช้ตัดสินดอกกุหลาบที่สมบูรณ์แบบคือดอกบานต้องมีกลีบสวยสะพรั่งและมีกลิ่นหอม แต่ตอนนี้นักปลูกพืชสวนต้องเลือกดอกไม้ที่ทนทานต่อภูมิอากาศด้วย ผู้ปลูกกุหลาบหันไปเพาะปลูกในประเทศที่อากาศแห้งกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าถึงแม้ภูมิอากาศที่ผิดปกติจะทำให้สภาพแวดล้อมในอังกฤษเปลี่ยนแปลง แต่กุหลาบจะไม่สูญเสียคุณลักษณะ และผู้ปลูกอีกส่วนหนึ่งก็กำลังทดลองปลูกดอกไม้ในพื้นที่ร้อนและความชื้นสูงขึ้น เช่น รัฐ Florida ในสหรัฐอเมริกา และเมือง Shenzhen ในจีน
Simon Toomer ผู้ดูแลคอลเลกชั่นต้นไม้ที่ Kew Gardens กล่าวว่า “กุหลาบที่เราเห็นในสวนเป็นผลผลิตของการปรับปรุงพันธุ์มาหลายร้อยปีโดยเริ่มต้นจากกุหลาบป่า ซึ่งเป้าหมายของการปรับปรุงพันธุ์ส่วนใหญ่คือการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดอกบานสวย ออกดอกแน่นอน และมีกลิ่นหอม

“นอกจากคุณภาพของดอกแล้ว การคัดเลือกก็ต้องพิจารณาจากความต้านทานต่อโรคต่างๆ เช่น โรคใบจุดดำและโรคราแป้ง และเนื่องจากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเปียกชื้นและฤดูร้อนที่อากาศแห้ง ทำให้โรคเหล่านี้สร้างความเสียหายมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าต้นกุหลาบไม่เหมาะกับภูมิอากาศแบบใหม่นี้ มันจึงอ่อนแอต่อโรคมากขึ้น”
นอกจากนี้ศัตรูพืชยังเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้นกว่าเดิมซึ่งลุกลามมาถึงอังกฤษเพราะภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ
Toomer อธิบายว่า “สภาพอากาศชื้นในฤดูใบไม้ผลิยังเหมาะกับการเติบโตของเชื้อราศัตรูพืชด้วย ซึ่งหมายความว่านักปรับปรุงพันธุ์พืชต้องให้ความสำคัญกับความต้านทานโรคมากขึ้นโดยการใส่ยีน (ด้วยการผสมพันธุ์) ของพืชที่ต้านทานโรคดีกว่าเข้าไป ซึ่งพันธุ์เหล่านี้มักเป็นกุหลาบป่าที่มีความต้านทานโรคตามธรรมชาติ แต่ก็หมายความว่าจะมีบางสายพันธุ์ (รวมถึงสายพันธุ์ยอดนิยมเดิม) ที่อ่อนแอต่อโรคเกินกว่าจะอยู่รอดได้ในปัจจุบันแล้ว”
ข้อมูลของ RHS ชี้ว่า บางพื้นที่ในอังกฤษนั้นไม่เหมาะกับกุหลาบหลายพันธุ์ ผู้ปลูกบางรายจึงผสมพันธุ์กุหลาบกับพืชอื่นๆ ที่ทนต่อสภาพอากาศซึ่งรวมถึงชาด้วย David Austin Roses ได้ให้คำแนะนำสายพันธุ์กุหลาบที่ต้านทานโรคไว้บนเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึง Dame Judi Dench กุหลาบสีแอปริคอตที่เพาะขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักแสดงคนนี้ในปี 2017 และ Scarborough Fair กุหลาบสีชมพูอ่อนที่มีกลิ่นหอมคลาสสิคที่เพาะขึ้นในปี 2003

Guy Barter หัวหน้านักปลูกพืชสวนของ RHS กล่าวว่า “นอกจากการผสมพันธุ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว เรายังต้องเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่อีกด้วย พื้นที่ที่ร้อนและแห้งมากซึ่งไม่เหมาะจะปลูกกุหลาบในตอนนี้จะยิ่งไม่เหมาะมากขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ทนทานยิ่งขึ้น แต่เรื่องนี้ยังเริ่มเกิดขึ้นในภาคใต้และภาคตะวันออกก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะถูกผลกระทบน้อยกว่า ในทำนองเดียวกัน พื้นที่ที่มีดินเหนียวเยอะและเก็บกักความชื้นได้มากซึ่งกุหลาบชอบอยู่แล้วก็ถูกกระทบน้อยกว่าเช่นกัน ดังนั้นการเลือกพันธุ์พืชให้เหมาะกับพื้นที่จึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
“สภาพอากาศสุดขั้วทำให้พืชอ่อนแอต่อโรคเพิ่มขึ้นมาก หลังจากฤดูร้อนที่ผ่านมา พืชที่ผ่านความเครียดมาจากช่วงหน้าแล้งก็จะอ่อนแอต่อโรคราน้ำค้างและโรคอื่นๆ แต่ฤดูร้อนที่อากาศเปียกชื้นมากก็ส่งผลแบบเดียวกัน ดังนั้นภาวะโลกรวนจึงทำให้พืชอ่อนแอลงโดยรวม และสภาพอากาศสุดขั้วก็จะทำให้พบโรคบางโรคได้บ่อยขึ้น”
● โรคใบจุดสีดำในฤดูร้อนที่เปียกชื้นอาจทำใบกุหลาบร่วงหมดได้ จึงเป็นปัญหาหลักที่นักปรับปรุงพันธุ์กังวลมาก เพราะฉะนั้นก็จะเลือกพันธุ์ที่ทนทาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเชื้อราก็ปรับตัวจนทำให้กุหลาบต้านทานโรคได้น้อยลง โรคใบจุดสีดำสามารถรักษาได้ด้วยการตัดใบและส่วนของพืชที่ติดเชื้อออกทั้งหมด โกยรวมกันเพื่อนำไปทำลาย จากนั้นตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก (hard pruning) ด้วยเครื่องมือที่สะอาด
● โรคราแป้งและราสนิมเป็นภัยต่อกุหลาบเช่นกันและพบมากในสภาพร้อนชื้น การทำลายใบไม้ติดเชื้อที่ร่วงในฤดูใบไม้ร่วงจะช่วยลดจำนวนสปอร์เชื้อราได้ในฤดูใบไม้ผลิถัดไป และการตัดกิ่งที่ติดเชื้อทันทีจะช่วยลดการติดเชื้อในภายหลัง
● เพลี้ยจะระบาดเป็นฝูงในช่วงต้นฤดูร้อนที่อากาศอบอุ่น และจะเยอะที่สุดในเดือนมิถุนายนก่อนที่เต่าทองจะเข้ามาช่วยคุมประชากรเพลี้ยได้อย่างเต็มที่ RHS จึงแนะนำให้บี้เพลี้ยเท่าที่ทำได้และใช้ศัตรูตามธรรมชาติช่วยกำจัด