กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้รับแจ้งพบน้ำมันเกยหาดทรายแก้ว เกาะสีชังและหาดท่ายายทิม บริเวณท้ายเกาะสีชัง โดยยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของน้ำมันได้ จากการตรวจสอบปะการังในพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุ คือ บริเวณหาดท่าวังพื้นที่ประมาณ 2,500 ตร.ม. ห่างจากชายหาดประมาณ 100 เมตร สถานภาพสมบูรณ์ปานกลาง และแนวปะการังบริเวณใกล้ท่ายายทิมมีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตร.ม. ห่างจากชายฝั่งประมาณ 30-90 เมตร ไม่พบความเสียหายของปะการังเนื่องจากไม่มีปะการังโผล่พ้นน้ำในช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุด แต่ก็จะมีการดำน้ำสำรวจผลกระทบต่อแนวปะการังต่อเนื่องไปอีก พร้อมเก็บตัวอย่างน้ำทะเลเพื่อนำไปวิเคราะห์ปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวม และตัวอย่างคราบน้ำมันบริเวณชายหาดเพื่อส่งวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำมัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว และประสานเจ้าหน้าที่เทศบาลในการกำจัดคราบน้ำมันที่ขึ้นเกยหาด ฉีดน้ำยาขจัดคราบน้ำมันบริเวณกลุ่มน้ำมันในทะเล กระจายเป็นกลุ่มเล็ก ความยาวประมาณ 200 เมตร

ขณะที่นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ตั้งข้อสังเกตว่า น้ำมันที่พบอาจเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน หรือเรือสินค้า แอบปล่อยของเสียจาก Slop Tank ( ถังที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรวบรวมน้ำเสียที่ปนเปื้อนน้ำมันอื่นๆ บนเรือเพื่อนำไปกำจัดที่ท่าเรือ ) ซึ่งปกติเรือขนาดใหญ่จะมีเครื่องแยกน้ำมันออกจากน้ำเสียสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล้างเรือ ล้างอุปกรณ์ ที่ทำให้มีน้ำมันปนเปื้อนมาด้วย โดยหลักเมื่อถึงท่าเรือ เรือก็จะนำน้ำเสียเข้าสู่การบำบัด ส่วนน้ำมันก็จะถูกกำจัดไป แต่ส่วนใหญ่เรือขนาดกลางที่ไม่มีเครื่องแยกน้ำมัน จะใช้วิธีปล่อยน้ำเสียที่มีส่วนผสมของน้ำมันลงทะเลแทน เพื่อเป็นการลดต้นทุน

สำหรับในช่วงนี้มีกระแสลมจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ พัดไปทางตะวันตกเฉียงใต้จึงคาดว่าน้ำมันที่รั่วไหลอาจพัดมาจากทะเลศรีราชา เข้าสู่เกาะสีชัง ทั้งนี้แม้จะมีกฎหมายตามมาตรา 119 ทวิ พรบ.เดินเรือน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ก็ยังมีผู้ลักลอบปล่อยของเสียลงทะเลอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาและตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพราะหากเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลในระยะยาว
ขอบคุณภาพจาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง