“เพื่อไทย – ไทยสร้างไทย” เปิดแถลงด่วน จี้รัฐแก้ฝุ่นข้ามแดน ขณะที่ค่าฝุ่น PM 2.5 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พุ่งสูง 537 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ฝุ่นแม่สายพุ่ง รายชั่วโมงทะลุ 637 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยังคงวิกฤตต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ โดยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษรายงานเมื่อเวลา 07.00 น. (วันที่ 27 มี.ค.) แสดงค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของฝุ่น PM 2.5 สูงถึง 537 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงที่สุดในรอบ 4 วันที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมงของวันนี้เมื่อเวลา 13.00 น. พุ่งไปถึง 637 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 532 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเมื่อเวลา 14.00 น.
โดยกรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ จะยังคงวิกฤตในระดับสีแดงไปจนถึงวันที่ 30 มีนาคมนี้ ก่อนจะลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับสีส้ม (ค่าฝุ่นไม่เกิน 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ช่วงปลายสัปดาห์นี้
“ปลอดประสพ” แนะ “ประยุทธ์” สายตรงหา “มิน อ่อง หล่าย” สั่งควบคุมการเผาในเมียนมา
ด้าน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวเมื่อช่วงเช้า ระบุว่า พรรคเพื่อไทยรู้สึกเป็นห่วงพี่น้องชาวภาคเหนือ เพราะวันนี้ถือเป็นวิกฤติทางมลภาวะทางอากาศ โดยฝุ่น PM 2.5. ตอนนี้มาจากประเทศเมียนมาเกือบทั้งหมด ตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
พรรคเพื่อไทย จึงมีข้อเสนอ 6 ข้อต่อนายกรัฐมนตรี พรรคการเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเสนอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องโทรศัพท์ไปถึงผู้นำประเทศเมียนมา และผู้นำประเทศอื่นที่อยู่ใกล้กับจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะแม่สาย เพื่อขอร้องให้เมียนมาควบคุมการเผาที่ส่งผลให้เกิดฝุ่น PM 2.5
“วันนี้ขอกราบท่าน ขอความกรุณานายกประยุทธ นายกรัฐมนตรี ให้ท่านโทรศัพท์ไปหาผู้นำประเทศเมียนมาเดี๋ยวนี้ ทันที และโทรศัพท์ไปถึงผู้นำกลุ่มอื่นๆ ที่มีอิทธิพลที่อยู่ใกล้เชียงราย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่จะขอร้องทางฝ่ายเมียนมาให้เข้าไปควบคุมการเผา”
นอกจากนี้ ยังเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข แจกหน้ากากอนามัยคุณภาพดีให้ทั่วถึงโดยทันที, กระทรวงมหาดไทยต้องสั่งหยุดงาน ปิดโรงเรียน และประกาศห้ามออกนอกบ้านโดยสิ้นเชิง, หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาพัดลมให้ประชาชนเพื่อพัดฝุ่น PM 2.5 ออกจากบ้าน, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องใช้ความเด็ดขาด และใช้อำนาจตามกฎหมายกับบริษัทต่างๆ เพื่อคุยให้ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมา ถึงข้อตกลงที่มาที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือความเสียหายต่อประเทศ
และเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องสั่งการกรมอุทยานแห่งชาติ ให้ยุติการอนุญาตเลี้ยงวัว 15 ฝูงขนาดใหญ่ ในอุทยานแห่งชาติทันที เพราะกลุ่มเลี้ยงวัวเหล่านี้ คือผู้ที่เผาเพื่อให้ได้หญ้ามาเลี้ยงวัว และต้องสั่งห้ามเข้าไปเก็บเห็ดในอุทยาน เพราะผู้ที่เผาทำเพื่อให้เห็ดเกิดขึ้น
รวมทั้งเสนอให้ กกต.ต้องมีการประชุมทบทวนเพื่อเปิดทางให้อุปกรณ์ช่วยเหลือฝุ่น PM 2.5 เหล่านี้ ได้ถูกส่งไปไปยังประชาชน ผ่านทางราชการ
“ไทยสร้างไทย” ขอรัฐบาลช่วยเหลือผู้ป่วยและเด็กเกิดใหม่
ขณะที่พรรคไทยสร้างไทย โดย ดร.สุวดี พันธุ์พานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.สเขต 1กรุงเทพมหานคร พรรคไทยสร้างไทย และคณะทำงานด้านสาธารณสุข พร้อมด้วย นายรชฎ อึ้งอภินันท์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคไทยสร้างไทย แถลงข่าวเมื่อช่วงเช้า ระบุว่า สาเหตุสำคัญคือการเผาตามแนวชายแดนซึ่งอยู่นอกเหนือพื้นที่ๆ รัฐบาลจะควบคุมได้ พรรคไทยสร้างไทยจึงเสนอทั้งมาตรการเร่งด่วนและระยะยาว
โดยมาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำทันทีคือ ติดต่อฝนหลวงเพื่อลดฝุ่นในพื้นที่, ส่งเครื่องกรองฝุ่นเข้าโรงพยาบาล สำหรับกลุ่มเด็กแรกเกิดและผู้สูงอายุ, ส่งหน้ากาก N95 ให้ประชาชนในพื้นที่ และเร่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นๆ สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ ดีกว่าปล่อยเอกชนสู้เอง
ส่วนระยะยาว เสนอว่า กำหนดให้ จ.เชียงรายและพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการปลูกพืชที่สร้างพื้นที่ป่า หรือลดการเผา เช่น กาแฟ พีช ฮอป หรือไม้โตไวอื่นๆ โดยใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือ โดย 1 โรงงาน จะสามารถลดพื้นที่เผาในป่าได้ถึง 5,000-10,000 ไร่ และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น เอาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาทำไบโอพลาสติก
“เราหวังผลต่อเนื่องคือลดการเผา ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านและเราไม่สามารถใช้มาตรการอื่นนอกจากการค้าเพื่อให้เกิดการลดพื้นที่เผา เราต้องสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ ระหว่างเราและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนให้เกิดความไว้วางใจและเกิดการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดน และแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพื้นที่
นอกจากนี้ ยังเสนอให้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนได้ประโยชน์จากการค้าการลงทุน เช่น การจ้างงาน มีกิจกรรมที่สนับสนุนการลงทุน มีคูปองพัฒนาแรงงาน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มอุตสาหกรรมที่มาลงทุนและเป็นการสร้างอาชีพใหม่ในพื้นที่
