
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate change) พายุหมุนเขตร้อน ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทว่าเหมือนในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ได้รับความเสียหายและเกิดผลกระทบจากฝนตกหนักจนทำให้เกิดน้ำท่วม
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การเกิดพายุเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่ในอดีต เพียงแต่สถานการณ์ที่โลกต้องเผชิญกับการการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ Climate change จนทำให้เกิดสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว หรือ Extreme Weather ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น

…อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น เกี่ยวข้องกันอย่างไรกับพายุ?…
ผศ.ดร.ธรณ์ อธิบายว่า พายุหมุนเขตร้อน จะเกิดจากความร้อนในทะเล นั่นเท่ากับว่ายิ่งอุณหภูมิในทะเลร้อนขึ้นมากเท่าไหร่ พายุก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อน้ำที่ร้อนมากๆ ก็จะทำให้เกิดไอระเหยมากขึ้น และไอระเหยเหล่านี้ก็จะทำให้เมฆมีไอน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเมื่อเกิดพายุฤดูร้อนปริมาณฝนที่ตกก็จะเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
วิเคราะห์ได้จากการเกิดพายุโนรู ที่ในขณะที่เคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปินส์ มาลงทะเลจีนใต้ อุณหภูมิน้ำทะเลในขณะนั้น 29-30 องศา ถือได้ว่าเป็นอุณหภูมิที่สูง ยิ่งเคลื่อนเข้ามาชายฝั่งเวียดนาม ที่มีทั้งคลื่นลม และความกดอากาศต่ำ พายุจึงเพิ่มระดับน้ำความรุนแรงที่ทำให้เกิดความเสียหายในประเทศเวียดนาม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ที่สำคัญฝนในลักษณะที่เมฆเต็มฟ้า จะทำฝนตกต่อเนื่องแต่จะหนักในแค่บางจุด ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์พื้นที่ได้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่และสภาพภูมิศาสตร์ จนทำให้บางจุดจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน หรือระบายไม่ทัน

…จะเป็นอย่างไรต่อไป…
ผศ.ดร.ธรณ์ แสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า สิ่งสำคัญอย่านำเหตุการณ์ในอดีตมาตัดสินปัจจุบัน ว่า “ทำไมตอนนี้พายุถึงหนัก ทำไมเมื่อครั้งอดีตไม่เป็นแบบนี้” นั่นก็เพราะ Climate change และยังมี Extreme Weather ที่ทำให้หลายเหตุการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่แค่ที่ประเทศไทย แต่ยังหมายถึงทั่วโลก ที่ทำได้ในขณะนี้จึงควรเตรียมความพร้อมรับมือของทุกหน่วย การนำเครื่องมือ และเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อต่อสู้กับอากาศแปรปรวนที่อาจจะรุนแรงเพิ่มขึ้นในอนาคต